วันพุธที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

นิทานเรื่อง "เหี้ยกับกิ่งก่า"

การคบหากับคนนิสัยเสีย เห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ ย่อมนำความพินาศมาให้อย่างมากมาย นิทานเรื่องนี้มามาใน "โคธชาดก เอกนิบาต"
















ณ ป่าแห่งหนึ่งพญาเหี้ยพร้อมบริวารได้อาศัยอยู่ในโพรงต้นไม้แห่งหนึ่งและพญาเหี้ยมีลูกตัวหนึ่ง ซึ่งเป็นที่รักดุจดั่งดวงใจ มีนามว่า "โคธมิลลิก" เมื่อเติบโตขึ้นสามารถเลื้อยคลานไปมาได้ ก็ออกตระเวณรอบ ๆ ที่อยู่ และตระเวณออกไปไกลที่อยู่ขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งวันหนึ่งได้พบกับฝูงกิ้งก่า จึงได้สร้างมิตรไมตรี เป็นเพื่อนกับลูกกิ้งก่าตัวหนึ่งโดยที่พญาเหี้ยไม่รู้
















ต่อมา วันหนึ่งพญาเหี้ยรู้เรื่องเข้า จึงไม่สบอารมณ์อย่างมากได้เรียกลูกรักเข้ามาอบรมเป็นการใหญ่

"โคธมิลลิก ลูกพ่อ! เหี้ยมีตระกูลสูงกว่ากิ้งก่ายิ่งนัก พ่อได้ทราบมาว่าลูกไปคบหากับกิ้งก่าใช่ไหม ! "
"ใช่พ่อ" โคธมิลลิก ตอบแล้วย้อนถามว่า
"ทำไมละพ่อ! กิ้งก่าเป็นสัตว์เหมือนกับเรา คบหากันไว้ก็ไม่น่าจะเสียหายอะไรหรอกน่า !"
"เสียหายสิ! ทำไมจะไม่เสียหาย และเสียหายมากด้วย" พญาเหี้ยกล่าวด้วยความขัดเคืองใจ
"พ่อ! ลูกไม่เห็นจะเสียหายตรงไหนเลย เราก็คบกันธรรมดาฉันมิตร" โคธมิลลิกโต้แย้ง
"กิ้งก่าสกุลต่ำกว่าเรา ยิ่งเราไปคบก็ยิ่งทำให้เราเสื่อมศักดิ์ศรี จะนำความเดือดร้อนมาสู่วงศ์ตระกูล" พญาเหี้ยพยายามโน้มน้าวจิตใจโคธมิลลิก
"เป็นไปไม่ได้เลยพ่อ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด กิ้งก่าที่ลูกคบหามีนิสัยดี ทั้งนั้นเลย" โคธมิลลิก โต้แย้งไม่ยอมฟังเหตุผลของพญาเหี้ย
"เอ้อดี ... พ่อเตือนแล้วไม่ฟัง เมื่อภัยมาถึงเจ้าจะน้ำตาตกใน" พญาเหื้ยโกรธลูกตัวเองที่หัวดื้อไม่ยอมฟังคำตักเตือน

ผ่ายโคธมิลลิกก็ยังคงเที่ยวแวะเวียนไปคบหาสมาคมกับกิ้งก่าอยู่เสมอด้วยความสนุกสนาน เพลิดเพลินโดยมิใส่ใจคำตักเตือนของพญาเหี้ยผู้เป็นพ่อ

พญาเหื้ยเห็นว่าลูกไม่ยอมเชื่อฟัง ก็คิดว่าสักวันต้องมีภัยตามมาแน่นอน จึงได้บอกบริวารให้ช่วยกันสร้างเกราะป้องกันภัย โดยเกณฑ์แรงงานให้ช่วยกันขุดปล่องสำหรับหลบภัย เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินจะได้พากันหนีลงปล่องเอาตัวรอด

กาลเวลาหมุนเปลี่ยนเวียนไป โคธมิลลิกเติบโตขึ้นตามลำดับ มีร่างกายใหญ่โต ผิดกับกิ้งก่าที่มีร่างกายเล็ก จนมิอาจเทียบกันได้เลย แต่โคธมิลลิกก็ยังคบหากับกิ้งก่าอยู่เช่นเดิม มีการกอดรัด หยอกล้อกันตามปกติ ครั้งหนึ่งกิ้งก่าถูกโคธมิลลิกโอบกอดรัดในขณะที่เล่นหยอกล้อกัน ทำให้เกิดความเจ็บปวด แทบจะทนไม่ไหว จะร้องห้ามก็เกรงใจเพราะเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กเล็ก ๆ กิ้งก่าจึงคิดหาวิธีการกำจัดเหื้ย

เมื่อถึงต้นฝนปลายร้อน สายฝนกระหน่ำลงมาทั่วปฐพี น้ำเจิ่งนองไปทั่ว ฝูงเมลงเม่าก็ออกมาจากจอมปลวกบินว่อนด้วยความดีใจ ฝ่ายเหื้ยเมื่อเห็นเช่นนั้น ก็รีบออกมาจากโปรงไม้มากินแมลงเม่าอย่างเพลิดเพลินใจ กิ่งก่าอันตรายเห็นเป็นโอกาสเหมาะที่จะกำจัดเหื้ย จึงเทียวเสาะแสวงหานายพรานเหมือนสวรรค์เป็นใจ กิ้งกาได้พบกับนายพรานพร้อมสุนัขล่าเนื้อ จึงถามว่า

"ท่านจะไปไหนหรือ นายพราน!"
"เราจะไปจับเหื้ย " นายพรานตอบ
"โอ้ นี่ถ้าท่านต้องการให้ช้าช่วย ข้าก็ยินดี เพราะข้ารู้ที่อยู่ของเหื้ย" กิ้งก่าได้โอกาสอย่างเจ้าเล่ห์
"เอ้อดี ... งั้นเจ้าพาเราไปสิ" นายพรานอุทานอย่างลิงโลดใจ
















กิ้งก่าได้นำนายพรานมาจนถึงจอมปลวกที่ฝูงเหื้ยกำลังเพลิดเพลินกับการกินแมลงเม่า ทันทีที่นายพรานมาถึงก็โรยฟางจนทั่ว แล้วจุดไฟเผา ฝูงเหื้ยต่างก็หนีกันอย่างอลหม่าน นายพรานก็ดักทุบตีเหื้ยตัวที่วิ่งหนีไปทีละตัว ทีละตัว ส่วนตัวที่พ้นเงื้อมือของนายพราน ก็ถูกสุนขล่าเนื้อกัดตาย

พญาเหื้ย เห็นเหตุการเช่นนี้ ก็เข้าใจทันทีว่าอันตรายที่เกิดขึ้นนี้มาจากลูกตัวเองที่คบหาสมาคมกับกิ้งก่าอันธพาล พลางกล่าวคำสุภาษิตไว้ว่า

"การคบกับคนพาล ย่อมนำความฉิบหายมาให้ คนพาลย่อมทำลายวงศ์ตระกูลของตนให้พินาศ"

ต่อมาชาติสุดท้าย ลูกพญาเหื้ยได้เกิดเป็นภิกษุรูปหนึ่งที่คบหาพระเทวทัต กิ้งก่าได้เกิดเป็นพระเทวทัต ส่วนพญาเหื้ยได้เกิดมาเป็นพระพุทธเจ้า

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การคบหาคนพาลสันดาลชั่วนั้น นอกจากตัวเองจะเดือดร้อนแล้ว บางทีอาจนำความฉิบหายมาสู่วงศ์ตระกูลด้วย อนึ่งลูกที่ดื้อรั้น ไม่ยอมฟังคำตักเตือน ไม่ยอมฟังคำสั่งสอนของพ่อแม่ย่อมจะพบกับความวิบัติ ดังเช่น โคธมิลลิก ดังสุภาษิตที่โบราณท่านกล่าวไว้ว่า คบคนพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น